เทศน์พระ

ผีดิบ

๒๖ พ.ย. ๒๕๖๒

ผีดิบ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


เทศน์พระ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ ) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ นะ ฟังธรรมเพื่อเคาะสนิมไง สนิมเกิดจากเนื้อเหล็ก ถ้าสนิมเกิดจากกิเลสเกิดจากใจของตน เคาะสนิมๆ ก็เคาะกิเลสของเรานี่แหละ เพราะกิเลสของเรามันคุ้นชิน มันชินชาหน้าด้านไง พอมันชินชาหน้าด้าน มันคุ้นเคยของมัน ทำสิ่งใดมันก็มองข้ามๆ หมดน่ะ แต่ถ้ามันไม่มีสนิม เราเคาะออก คอยเช็ด คอยขัด คอยถู เนื้อเหล็กมันก็ดูสวยงาม

นี่ก็เหมือนกัน เราบวชมาเป็นพระๆ เราต้องประพฤติปฏิบัติ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพราะเรามีเจตนาดีของเราไง เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้มาบวช มาบวชเป็นพระแล้วเป็นพระกรรมฐาน พระกรรมฐานเป็นนักรบ รบกับใคร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน ไม่ใช่ไปรบกับใครเลย เราบวชมาเรารบกับใคร บวชมาแล้วอยู่ในเรือนว่าง ร้านเรา ธุดงควัตร รูดผ้าออก อยู่ในเรือนว่างหมดเลย นี่ธุดงควัตร

เราจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เราเป็นนักรบๆ เราบวชมาแล้วเราเป็นนักรบนะ ถ้านักรบเรามีสติมีปัญญา มีสติปัญญาเพราะอะไร เพราะเรามีแบบอย่าง เรามีตัวอย่าง

ครูเอกของโลกคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่นะ คอยชี้ คอยแนะ คอยบอก คอยติ คอยเตียนนะ คอยบอก เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ไอ้พระหลวงตานั่นน่ะ ลูกศิษย์พระกัสสปะ “เออ! ตายแล้วก็ดีเสียที เวลาอยู่ทำนู่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ น่าเบื่อหน่าย”

นี่ไง มันไปสะเทือนใจของพระกัสสปะ เพราะพระกัสสปะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์นะ เราบวชมาเป็นพระ เราบิณฑบาตเลี้ยงชีพ มันมาจากไหน มันมาจากธรรมและวินัย มันมาจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริษัท ๔ เขามีศรัทธา เขามีความเชื่อของเขา เขาก็อยากทำบุญกุศลของเขา เขาถึงได้ตักบาตร แล้วเรา เรามาบวชเป็นพระๆ ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นรุ่นสุดท้ายภายหลัง เราอาศัยสิ่งนั้นเลี้ยงชีพ นี่ธรรมและวินัย เห็นไหม

เราบวชมาจากธรรมและวินัย แล้วบอกว่านู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ตายซะ ตายก็ดีแล้ว พระกัสสปะสะเทือนใจมาก ถึงเป็นเหตุให้ทำสังคายนา ทำสังคายนาขึ้นมาแล้วร้อยเรียงไว้เป็นเถรวาท เถรวาทที่เรานับถือกันมาไง

เวลามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านทำจริงทำจังของท่าน โดยธรรมชาติของโลกมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญเป็นครั้งเป็นคราวไป เวลาศาสนามันเสื่อมทรามไป พระเรามันก็เด้นด้านทำตามแต่ความพอใจของตน

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเกิดมา ท่านเกิดมาแล้วท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน หลวงปู่เสาร์พยายามไปเอาหลวงปู่มั่นมาบวช เวลาบวชเสร็จแล้วร่วมกันออกประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติ นักรบ รบกับกิเลสของตน แล้วรบกับกิเลสของตนจะไปยุ่งเรื่องอะไรกับใคร

เวลาหลวงตาท่านออกธุดงค์หาบ้านน้อยๆ ๒ หลัง ๓ หลังก็พอ พอเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพเลี้ยงดำรงชีวิตนี้ไว้

แล้วเรานักรบ รบกับกิเลสของเรา ไม่ใช่ไปรบกับสังคม ไม่ใช่รบกับโลก ไม่อยากมีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณใดๆ ทั้งสิ้น กิเลสของตนในใจของตนมันร้ายนัก เวลามันร้ายนัก เวลามีการกระทำขึ้นมา เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาผ่านกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรู้ว่ามันโหดร้าย

หลวงตานะ เวลาท่านสู้ไม่ได้ นั่งร้องไห้เลยล่ะ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ ถ้ากูมีกำลัง กูจะสู้กับมึงๆ เวลาสู้กับมึง เห็นไหม

เรานักรบก็รบกับกิเลสของตนสิ จะไปรบกับใคร จะไปเหยียบย่ำใคร จะไปย่ำยีใคร จะไปอวดดีอวดเก่งกับใคร มันเอาหัวใจของตนนี่สำคัญ นักรบๆ

ถ้ามันนักรบ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านถึงรู้ของท่านไง เวลาท่านรู้ของท่านขึ้นมา เวลาท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ไง

เวลาหลวงตาท่านไปประพฤติปฏิบัติ ท่านก็เห็นคุณจากตรงนี้ เห็นคุณจากตรงนี้เพราะเวลาท่านบวชแล้วท่านศึกษา ศึกษาจนเป็นมหา ท่านก็อยู่ในวงการสงฆ์ของภาคปริยัติน่ะ

เวลาใครจบมหาแล้วจะต้องเป็นครูสอนใช้ทุนๆ ท่านก็ต้องสอน ท่านตั้งปณิธานไว้ว่าท่านจะไม่สอน ท่านจะสอนตนของท่าน ท่านบวชเป็นพระแล้วท่านจะเป็นนักรบ จะรบกับกิเลสของตน ไม่ไปรบกับตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ไปรบกับการอบรมสั่งสอนขึ้นมาได้ผลงาน ท่านจะรบกับกิเลสๆ ไม่ไปรบกับตำรับตำรา รบกับกิเลสของตนไง

เวลาออกบวช เวลาออกปฏิบัติ แล้วปฏิบัติไปแล้วเวลาแพ้กิเลส นั่งร้องไห้ คำว่า “นั่งร้องไห้” มันจะสู้กันอย่างไร มันหันซ้ายหันขวามันจะไปต่อสู้กับมันอย่างไร ทั้งๆ ที่มีหลวงปู่มั่นเป็นครูบาอาจารย์อยู่นะ

เวลาปฏิบัติขึ้นมาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านขวนขวาย ท่านค้นคว้าของท่านขึ้นมาเอง เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ท่านก็เห็นของท่าน เวลาอบรมสั่งสอนขึ้นมา ลูกศิษย์ลูกหาเวลาทำขึ้นมา กว่ามันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา คนต้องมีอำนาจวาสนา คนต้องมีสติปัญญารบกับกิเลสของตน ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเหยียบย่ำมันลงไป กระทำมันลงไปไง

เวลาหลวงตาท่านไปปฏิบัติ เวลาศึกษาเป็นมหา เป็นนักศึกษาที่ดี เป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดูแลหมู่คณะ เวลาออกไปปฏิบัติแล้วด้วยความเป็นสุภาพบุรุษอันนั้น ในการปฏิบัติของตนจะเอาจริงเอาจังของตนขึ้นมา แต่สู้กิเลสไม่ได้

เวลามันสู้เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมานะ เวลาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เวลาถ้ามันจะดีงามขึ้นมา ท่านบอกถ่านไฟมันก็แดงโร่เลยล่ะ เป็นสมาธิที่ดีๆ แดงโร่เลย มันก็เข้ามัชฌิมาไม่ได้ เวลามันเสื่อมมันทรามไปเหมือนถ่าน ถ่านที่ไม่ได้จุดไฟดำปิ๊ดปี๋อยู่อย่างนั้นน่ะ จะรบกับกิเลสของตนๆ จะรบอย่างไร

นักรบๆ รบกับกิเลสของตน เวลาเสื่อมสภาพไปก็ขึ้นไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านก็ให้อุบายมา ให้อุบายมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเห็นคุณค่าตรงนี้ไง มันเห็นคุณค่า เห็นไหม

เวลาเรารบเราเอง รบไม่ได้ รบจนนั่งร้องไห้ แต่เวลาออกประพฤติปฏิบัติ เวลาหลวงปู่มั่นท่านคอยชี้คอยแนะคอยบอกขึ้นมา เห็นไหม เวลาที่ทำไม่เป็นก็พยายามฟื้นฟู พยายามกระตุ้นให้กระทำ

พอกระทำไปแล้วมันรุนแรงเกินไป ถ้ามันสุดโต่งอย่างหนึ่ง มันก็เหมือนกับม้าที่มันคึกคะนอง เขาก็พยายามผ่อนอาหารมันไม่ให้มันกิน เวลาถ้ามันเชื่อฟัง มันยอมรับความจริงขึ้นมาก็ผ่อนให้มันกินได้บ้าง หลวงปู่มั่นท่านพยายามให้อุบายๆ ไอ้คนที่มันทำมันคิดได้นะ มันรู้ทันไง นี่คอยชี้คอยแนะ

ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนี่นักรบๆ รบกับกิเลสของตน แล้วมันเห็นผลน่ะ มันเห็นผลนะ เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาไฟแดงโร่เลย เผาไปอย่างหนึ่ง เวลาทำไม่ได้ก็เหมือนกับถ่านดำปี๋เลย มันก็จุดไฟไม่ติด นั่งร้องไห้เลย

เวลาเป็นจริงเป็นจัง เวลาติดสมาธิอะไรต่างๆ เวลามันทำไม่ได้เลยมันก็ไม่ใช้ปัญญา เวลาออกใช้ปัญญา ใช้ปัญญาไปมันก็เลยเถิดไป

“ไอ้บ้าสังขารๆ”

ว่าสมาธิก็แก้กิเลสไม่ได้

โธ่! คนปฏิบัติเขารู้ว่าสมาธิแก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่สมาธิมีความร่มเย็นเป็นสุขมาก เวลามันแดงโร่เลย มันก็ได้พักของมัน เวลามันดำปี๋เลย มันก็ทำให้เราจุดติดขึ้นมาได้ ให้มันมีความอบอุ่นได้ ไม่ใช่ดำปี๋แล้วหนาวเย็นหนาวสั่นอยู่นั่นน่ะ

สมาธิแก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่สมาธิมันเป็นสัมมาสมาธิ จิตสงบมีความสุขอย่างยิ่งๆ มันให้ความสุข ความอบอุ่นกับหัวใจกับนักปฏิบัติ

สมาธิแก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่คนที่ภาวนาไม่เป็นมันว่าสมาธิเป็นนิพพานน่ะ

แต่ถ้าคนเป็นๆ สมาธิคือสมาธิไง ไม่มีสมาธิมันจะดีงามขึ้นมาได้อย่างไร แล้วเวลาใช้ปัญญา ใช้ปัญญาอย่างไร ถ้าใช้ปัญญา หลวงปู่มั่นเวลาท่านอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา เวลาให้ออกใช้ปัญญา ใช้ปัญญาอย่างไร

เวลาใช้ปัญญาขึ้นไปแล้ว คนอบรมสั่งสอนชี้ทาง แล้วคนที่ปฏิบัติไปมันอันเดียวกันน่ะ คนชี้ทางกับคนเดินทางมันไปทางเดียวกัน มันจะไปขัดไปแย้งกันได้อย่างไร

เว้นไว้แต่ไอ้พวกเนรคุณ ไอ้พวกนอกรีต มันไม่เป็นน่ะ มันไม่รู้หรอก ไม่รู้มันก็ไม่เห็นคุณค่าไง ไม่เห็นคุณค่าก็มาแย่งชิง ชิงดีชิงชั่วกันอยู่นี่

เวลาท่านถึงให้มีหลักใจไง แล้วมันเป็นการห่วงหมู่ห่วงคณะ เวลาพูดกับหลวงตาน่ะ “มหา มหาพรรษามากแล้วไม่ต้องขึ้นมานะ ให้พระเล็กน้อยมันขึ้นมา เพราะพระเล็กน้อยมันขึ้นมามันจะได้มีข้อวัตรมันติดหัวใจมันไป”

ถ้าได้ข้อวัตรติดหัวใจมันไป เห็นไหม คนมันมีวัตรปฏิบัติในหัวใจ ถ้ามีวัตรปฏิบัติในหัวใจ อะไรผิดอะไรถูกมันรู้ไง เราวัดกันที่ถูกผิดที่ข้อวัตรปฏิบัติ มันมีกติกา วัดกันที่ธรรมและวินัย วัดกันที่ศีลไง

มันผิดที่ศีล มันไม่ได้ผิดที่บุคคล ไม่ใช่หลวงตานั่นน่ะ หลวงตา “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วดี อยู่แล้ววุ่นวายมาก นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ มันวุ่นวายไปหมดน่ะ ตายไปซะ ต่อไปนี้เราได้อยู่สุขอยู่สบายกันแล้ว ไม่มีใครคอยมาชี้คอยมาแนะ คอยมาจับผิดไง”

นี่ไง ใครไปจับผิด ธรรมวินัยใครไปจับผิด นี่ไง แต่คนมันทิ้งมันขว้าง มันเลอเลิศ มันไม่ต้องการใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นผีเปรต

แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา ทาน ศีล ภาวนา ถ้าเป็นพระเราก็ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันบาทฐานไม่ดี มึงทำสมาธิได้อย่างไร ถ้าเป็นสมาธิด้วยกำลัง ด้วยวาสนา มันก็เป็นมิจฉา มิจฉาคือว่ามันไม่เข้าสู่สัมมาสมาธิ ไม่เข้าสู่หลักการ มันเป็นสมาธิได้ แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เวลามีข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติ

“มหา มหาพรรษามากแล้วไม่ต้องขึ้นมา ให้ผู้ที่พรรษาน้อยๆ มันขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไป”

ถ้ามีข้อวัตรติดหัวใจมันไป นี่เรามีวาสนา เรามาบวช บวชเป็นวัดกรรมฐาน ภูมิใจมากการเป็นพระป่า การเป็นพระธุดงค์ พระธุดงค์ก็ข้อวัตรปฏิบัติไง ถ้าข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ามึงแถออกจากข้อวัตรไปนั้นน่ะ นี่ไง ไอ้พวกแดร็กคูลา ผีดิบ ผีดิบมันจะกินเลือดสดๆ เวลากิเลสมันฟูขึ้นมาไง

นี่ไง ไอ้หลวงตานั่น “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตายไปแล้วก็ดีแล้วล่ะ ต่อไปจะไม่มีใครคอยติคอยเตียนคอยว่าเราแล้ว เราจะได้อยู่สุขสบายไง”

อยู่แบบเปรตใช่ไหม อยู่แบบแดร็กคูลาใช่ไหม ได้แต่กินเลือดใช่ไหม ได้แต่อำนาจวาสนาอย่างนั้นหรือ นั่นมันผีดิบ ผีดิบมันคิดกันอย่างนั้นไง

กิเลสตัณหาความทะยานอยาก นักรบ นักรบรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนนะ ถ้ารบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน มันมีใครจับผิด

มันผิดที่ศีล ผิดที่ธรรม มันผิดตรงนั้น มันผิดที่กฎหมาย มันผิดที่วินัย ถ้าวินัยมันผิดแล้วใครถูก แล้วใครเป็นคนเอาวินัยมาทำลายเรา

วินัยมันมีมาตั้งแต่ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว วินัย ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ มันมีมา ๒,๐๐๐ กว่าปีตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม วางธรรมและวินัย ๒,๐๐๐ กว่าปี ใครไปแก้ไข ใครไปแต่งเติมมัน นี่มันมีของมันอยู่แล้ว

ไอ้เรามันเป็นผีดิบได้กลิ่นคาวเลือด เที่ยวจะไปดูดเลือดเขา แล้วจะดูดเลือดเขา แล้วเอาอะไรไปดูดล่ะ ก็เอาเล่ห์เอากลไง เอาความพลิกแพลงของตนไง มันไม่ใช่ความจริงไง

ถ้าเป็นความจริงๆ กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมต่างหาก กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ของครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ถ้าท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา กองทัพธรรมๆ เพื่อจรรโลงสังคมไง ศีล สมาธิ ปัญญา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่ศาสนาที่มั่นคง ศาสนาที่ดีงามไง

ดูสิ เวลาพรรคคอมมิวนิสต์เวลาเขาวิเคราะห์ประเทศไทย ประเทศไทยพ้นจากความเป็นคอมมิวนิสต์มาจากอะไร หลักๆ ๒ สถาบัน กษัตริย์กับศาสนา ศาสนาพุทธมีการกระทำที่ดีงามขึ้นมา ให้คนเชื่อในบุญในบาป ให้คนเชื่อในความถูกต้องดีงาม

ความชั่ว ความจัญไร ไอ้พวกผีดิบผีเปรตเขาไม่ต้องการ แต่ไอ้พวกกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ไอ้พวกผีดิบ มันจะเอาความดิบเถื่อนของตน แล้วคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เที่ยวกะล่อนปลิ้นปล้อนเขาไปทั่ว เที่ยวกะล่อนปลิ้นปล้อนลอยหน้าลอยตา เกาะโลงศพไง เกาะหมู่เกาะคณะ

พระกรรมฐานๆ แล้วพระป่าๆ ไอ้พวกผีดิบ ไอ้แดร็กคูลา มันเกาะหมู่เกาะคณะ เกาะชื่อเสียงของครูบาอาจารย์เอาไปหาผลประโยชน์ของตนพลิกแพลงไป เป็นความดีหรือ ความดีตรงไหน พระกรรมฐานตรงไหน

พระกรรมฐานนะ ไอ้ศีลนะ มันเรื่องหยาบๆ ธรรมและวินัยๆ ไง มันเคารพสัจจะเคารพความจริง ถ้าเคารพสัจจะเคารพความจริง มันลงใจในข้อวัตรปฏิบัติ มันลงใจในธรรมและวินัย มันลงใจในหมู่คณะ ไม่ใช่ว่าหมู่คณะนี้เป็นเบี้ยล่างให้เราเหยียบยืนขึ้นมา ให้เราเด่นดังขึ้นมาเพื่อกิตติศัพท์กิตติคุณ ไอ้พวกผีดิบ ผีดิบมันกระหายเลือด

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ เป็นธรรมๆ เลือดมันก็เลือดในกายเราทั้งสิ้น คนเราเลือดในกายประมาณ ๗ ลิตร เวลาคนเสียเลือด เขาให้เลือด เลือดลมขับเคลื่อนดี ร่างกายเรามันเป็นปกติ มันสมบูรณ์ที่คนประพฤติปฏิบัติ

นี่เลือดลมของเรา ถ้าเลือดมันก็เลือดอยู่ในร่างกายนี้ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันก็อยู่ในร่างกายเรานี่ ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา มันจะดีจะชั่ว มันจะดีจะชั่วที่พฤติกรรมของเรา มันจะดีจะชั่วในหัวใจนี้ สังคมเป็นที่อยู่อาศัย เห็นไหม

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สงฆ์ปกครองสงฆ์ ให้สงฆ์ปกครองสงฆ์เพราะอะไร เพราะสงฆ์มันเกิดตายๆ ไปในอนาคตกาล แล้วถ้าเกิดตายๆ มาจนกึ่งพุทธกาล เราก็เกิดตายๆ มาพบหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เรามาพบครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านกระเสือกกระสน ท่านทำคุณงามความดีของท่านมา จนสังคมเขายอมรับนับถือศรัทธา

แล้วเราบวชมาเป็นทายาท เป็นรุ่นลูกรุ่นหลาน เราได้อาศัยความสุขความสะดวกจากสังคมที่เขายอมรับ เขาเชื่อถือศรัทธา ถ้าสังคมไม่เชื่อถือศรัทธานะ โอกาสที่เขาจะให้ประพฤติปฏิบัติ โอกาสที่เขาจะส่งเสริม โอกาสที่เขาจะฟังธรรม โอกาสที่มันจะเป็นความนุ่มนวลในการประพฤติปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ มันหาได้ยาก มันจะไปหามาจากไหน

ไอ้ที่ทำๆๆ อยู่นี่ เรากินบุญ กินบุญกุศลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติทั้งนั้นน่ะ

แล้วมันก็มีไอ้พวกผีดิบดิบเถื่อน ไม่รู้จักคุณค่าของธรรมและวินัย ไม่รู้จักคุณค่าของข้อวัตรปฏิบัติ ไม่รู้จักคุณค่าของครูบาอาจารย์ที่ท่านทำของท่านมา ด้วยความคิดแบบผีดิบไง อยากได้เลือดสดๆ อยากได้ตามความพอใจของตนน่ะ จะชี้นิ้วให้คนเชื่อเราแบบที่เขาเชื่อหลวงปู่มั่น เขาเชื่อหลวงตาพระมหาบัว

ก็เขาจะไปเชื่อมึงได้อย่างไร มึงจะมาวางท่าวางมาด ไร้สาระ

เขาเชื่อพฤติกรรมที่มึงประพฤติปฏิบัติ เขาเชื่อพฤติกรรมที่มึงกระทำน่ะ

ถ้าเชื่อการประพฤติปฏิบัติที่เราลงในธรรมและวินัย ถ้าลงในธรรมและวินัย เห็นไหม นี่ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรมเท่านั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เขาเชื่อในสัจธรรมอันนั้น ถ้าในสัจธรรมอันนั้นมันเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือวัฏฏะ ถ้าเหนือวัฏฏะ

แล้วไอ้ผีดิบมันอยากดังอยากใหญ่ อยากกินเลือด อยากให้เขาเห็นว่า ดูสิ ดูปากฉันมี ๒ เขี้ยว มีเลือดย้อยเลย เพราะความคิดดิบๆ ความเป็นผีดิบในใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันถึงอยากแสดงออกอย่างนั้นแบบไอ้พวกผีดิบแดร็กคูลา

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านทำคุณงามความดีของท่าน เพราะว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มานะ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

คนแค่ทำสมาธิได้ ทำสมาธิได้จิตสงบเท่านั้นน่ะ แล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ งานมันยิ่งใหญ่ งานมันมหัศจรรย์นัก แล้วเราบุคคลคนหนึ่งเป็นผู้ที่การกระทำอย่างนั้นได้ มันเกิดมรรคเกิดผลในหัวใจ มันมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์จนของในโลกนี้ไม่มีค่า

เวลากามราคะ ปฏิฆะ มันทิ้งกามราคะ ในโลกนี้เขาติดกันเรื่องอะไร ไม่ติดกันเรื่องกามหรือ

เวลากาม หลวงตาท่านพูดของท่าน เวลาพิจารณาอสุภะน่ะ ให้ผู้หญิงสวยๆ ทั้งศาลาเลยเดินผ่าน สบายมาก ไร้สาระ ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจอันนั้น แล้วถ้าเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจอันนั้น สิ่งที่ว่าเป็นผลของวัฏฏะ อะไรมันจะมีคุณค่า

มันไม่ใช่พวกผีดิบอยากจะกินเลือด สุดท้ายแล้วมันก็ไปกินขี้ ไปกินขี้สังคมไง ขี้ของเขาไง สิ่งที่เขาเสียสละเขาบริจาคนั่นน่ะ นั่นน่ะหัวใจเขาสูงส่ง เขาถึงสละได้ เขาทิ้งแล้ว ไอ้พระกรรมฐาน ไอ้ผีดิบอยากได้อย่างนั้นน่ะ อยากจะให้เขาส่งเสริมบูชา โดยพฤติกรรมของผีดิบ มันไม่เป็นประโยชน์หรอก นี่มันพูดถึงว่านี่เรื่องกิเลสนะ

แต่ถ้าเรื่องธรรมๆ เรื่องธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เวลาเกิดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลยังไม่มีวินัย พระอรหันต์มากมายมหาศาล เพราะเขามาด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ เขามาด้วยอุดมการณ์ของเขา เขาไม่ได้มาแบบผีดิบผีเถื่อน ไม่มาแบบแดร็กคูลา ไม่มาแบบต้องการกินเลือด ไม่มี เขามาด้วยหัวใจที่เห็นทุกข์ไง

“ยสะ ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ”

เห็นไหม เขามาจากที่วุ่นวาย ที่เกลื่อนกล่น โลกเขาไม่เอา

พระรัฐบาลน่ะลูกเศรษฐีเลย ทรัพย์สมบัติให้เอาไปทิ้งแม่น้ำ แก้วแหวนเงินทองดัมพ์ทิ้งไปเลย เพราะอะไร เพราะต้องการศีล สมาธิ ปัญญา

เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เขามองกันตรงนั้น ไม่ใช่พวกผีดิบ แย่งชิง อยากดัง อยากใหญ่ อยากมีอำนาจ เที่ยวหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนด้วยอาการของโลกๆ...เศร้า มันไม่สมกับความเป็นพระกรรมฐาน

ในเมื่อเราว่าเป็นพระกรรมฐานลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น สายกรรมฐานมันต้องมีศักดิ์ศรีสิ มันต้องมีคุณงามความดีในหัวใจ ถ้าคุณงามความดีในหัวใจ ผู้ที่มีศีลน่ะ ผู้ที่มีศีลนะ จะเข้าสังคมไหนก็ได้ มือที่ไม่มีบาดแผลมันจะไปลงน้ำเกลือ น้ำต่างๆ ไม่มีเจ็บไม่มีแสบทั้งสิ้น

ไอ้นี่แผลเต็มตัว แดร็กคูลา เขี้ยวนั่นน่ะ เลือดโชกอยู่นั่นน่ะ แล้วมันยังไปอวดเขา กรรมฐาน ลูกศิษย์สายกรรมฐาน พระป่า

นั่นเขี้ยวมันมีแต่เลือดนั่นน่ะ

มันเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระแล้ว เขาดูว่าเรื่องไร้สาระเป็นสาระ เรื่องที่เป็นสาระ เห็นไหม ธรรมะเก่าแก่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ

อยากมียศ อยากมีลาภ อยากมีรถคันงามๆ ไปไหนแล้วต้องมีรถนำหน้า รถตามหลัง ยังมีขบวนรถอีก นี่ไง ธรรมะเก่าแก่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ดูสิ คณะรัฐบาลไปไหนมีรถนำ เขาอยู่ ๔ ปี มันก็มีคนเปลี่ยนแปลงตลอด นี่โลกเขามีอยู่แล้ว แล้วธรรมมันไปตามโลกหรือ ไปไหนต้องมีรถนำ ไปไหนต้องมีขบวนการใหญ่ๆ อย่างนั้นหรือ มันไม่เคยมีหรอก

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยอยู่อย่างนั้นเลย แต่เวลาท่านทำความสงบใจของท่านนะ ดวงใจที่เป็นธรรมไง

วัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครูของเทวดา เป็นครูของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสั่งสอนของท่าน ท่านไม่ต้องไปไหนมีรถนำ ท่านมีแต่เทวดา อินทร์ พรหมมาห้อมล้อม มาฟังเทศน์ มีความร่มเย็น สุขที่เป็นทิพย์ ทิพย์สมบัติ

เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราทั้งหลาย ๖๐ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนักๆ”

แล้วมันก็มีพระผีดิบมาอวดอ้างว่ามีคุณธรรม

โลกนี้เร่าร้อนนัก พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์

ไอ้นี่ของดาษดื่นโลกๆ ไอ้พวกผีดิบ อยากกินเลือด อยากให้เขานับหน้าถือหน้า

แต่ครูบาอาจารย์ของเราพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์

บ่วงที่เป็นโลกที่เขาเห็นๆ กันอยู่นี่ ที่พวกเอ็งกระทำอยากได้อยากดี อยากมียศถาบรรดาศักดิ์ อยากมียศถาหน้าที่การงาน อยากมีตำแหน่งน่ะ บ่วงที่เป็นโลก ของโลกๆ เขาแย่งชิงกัน ฆราวาสคฤหัสถ์เขาก็แย่งชิงกัน ไม่ได้ ๒ ขั้นจะเป็นจะตาย แข่งขันชิงดีชิงชั่วกันอยู่นั่นไง นี่บ่วงที่เป็นโลก

บ่วงที่เป็นทิพย์ โอ้! ไอ้บ้านั่นน่ะ โอ้! เทวดามา เบรกดังอ๊อด เขาว่านะ รถเทวดา

รถห่าอะไรของมึงมีเสียงด้วย ทิพย์เป็นอย่างนั้นหรือ ทิพย์ที่มึงด้นสดมาหลอกลวงโลก คนที่เขาเป็นธรรมเขาฟังแล้วเขาจะอาเจียน

บ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์

ของที่เป็นทิพย์ไง ของที่เป็นทิพย์ ของที่ไม่เห็นด้วยตา เห็นด้วยไม่ได้ไง จิตตคหบดี รถสวรรค์ที่มารอรับ เขารออยู่กลางอากาศ เขาเห็นของเขาคนเดียว คนอื่นเขาจะเห็นด้วยอะไรด้วย

นี่บ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์

นี่เวลาครูบาอาจารย์เราท่านเป็นอย่างนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”

ถ้ามันพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงเป็นทิพย์ มันจะเป็นผีดิบ อยากกินเลือด อยากมียศถาบรรดาศักดิ์บ้าบอคอแตกอย่างนั้นหรือ

แล้วถ้าบ่วงที่เป็นทิพย์ๆ เป็นทิพย์เขายิ่งกว่านี้ มหัศจรรย์กว่านี้ เวลามรรคมันเกิดน่ะ เวลามรรค ๘ มันหมุนติ้วๆ ปัญญามันเกิด มันมหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นเยอะนัก มันถึงจะฆ่ากิเลสได้ไง

เพราะกิเลสตัณหาความทะยานของไอ้พวกผีดิบมันก็เข้ากับไอ้โลกธรรม ๘ นี่ไง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศไง แต่ถ้าเป็นความจริงแล้วนะ ไร้สาระทั้งสิ้น

จากโลกียะเป็นโลกุตตระ โลกุตตรธรรม ธรรมเหนือโลก เหนือวัฏฏะ แล้วเวลามันสิ้นสุดไปแล้วมันเป็นสัจจะ เป็นธรรมความจริงในหัวใจไง ถ้าเป็นสัจจะ เป็นธรรมความจริงในหัวใจ มันมีคุณค่าในใจอันนั้นไง ในวงกรรมฐานเขาหาไอ้นี่กัน แล้วเขาเคารพบูชา เขาเคารพบูชาจากคุณธรรมในใจอันนั้น อัตตสมบัติในใจที่มันมี

ถ้าอัตตสมบัติในใจมันมี มันอิ่มเต็มแล้ว คนที่อิ่มเต็มในหัวใจมันเพียบพร้อมไปแล้ว มันจะมาบ้าบอคอแตก มาเป็นผีดิบดูดเลือดเกาะให้เขาเกาะโลงศพอยู่อย่างนี้หรือ

เป็นผีดิบนะ ยังเกาะโลกศพเขาอีก เกาะขบวนของพระกรรมฐานอีก

เป็นพระกรรมฐาน สายพระกรรมฐาน พฤติกรรมมันผีดิบ เลวทราม ความเลวทรามอันนั้น เห็นไหม แล้วยังจะกลับมากินเลือดอีกนะ ยังหาเลือดกินไม่ได้ อยากจะเป็นเลือด

ไอ้เลือด ตัวเลือดมันอยู่ในคุก เวลานักโทษที่นอนในคุก โอ้โฮ! เลือดเต็มไปหมดน่ะ ตัวเลือดมันกัดมันกินนักโทษ ไอ้พวกผีดิบมันอยากกินเลือด มันอยากมียศถาบรรดาศักดิ์ มันอหังการในใจของมัน

แต่มันเศร้า มันเศร้าว่าสิ่งนี้มันเกิดมาจากไหน

กิเลสตัณหาความทะยานอยากเกิดในใจของสัตว์โลก

หลวงตาท่านพูดประจำนะ “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลสในใจของคนๆ”

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพฤติกรรมความรู้สึกนึกคิดในใจอันนั้น มันหยาบช้าอยู่ในใจอันนั้นแต่มันยังไม่ได้แสดงออก เพราะมันยังไม่มีช่องทาง เวลามันมีช่องทาง มันแสดงออกมาเป็นผีดิบ เป็นแดร็กคูลาคอยกินเลือดกินตับคนอื่น ทั้งๆ ที่เราเป็นนักรบ ที่บวชมา บวชมาเพื่ออะไร

บวชมา ครูบาอาจารย์ท่านแสวงหาสิ่งนี้นะ เวลาหลวงตาท่านไปเยี่ยมวัดใดก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีทางจงกรมท่านไปไม่ไปอีกเลย ถ้ามีทางจงกรม บอกว่าทางจงกรมปล่อยให้เป็นที่อยู่ของเสือ ที่อยู่ของสัตว์ป่า มึงไม่เคยเดินเลย ทางจงกรมมึงสร้างกันไว้ทำไม

นี่วัดพระกรรมฐานเขาหาที่นี่ เขาหาที่สงบสงัด เขาหาทางจงกรม เขาหาเวลาที่จะปฏิบัติ

เวลาในวงกรรมฐานที่เขาแสวงหากันน่ะ เขาแสวงหาเพื่ออะไร

เพื่อรบกิเลสในใจของตนไง นักรบเขารบอย่างนี้ไง นักรบเขาต้องการที่ความสงบสงัด เขาต้องการเวลา ต้องการในเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เพื่อขุดคุ้ย เพื่อแสวงหา เพื่อการกระทำในหัวใจของตนไง นี่นักรบ พระกรรมฐานๆ นักรบเขารบกันอย่างนี้

เขาไม่ใช่ โอ๋ย! ห่มผ้าสีดำๆ แล้วก็เที่ยวไปหาเหยื่อ เป็นแดร็กคูลา เป็นผีดิบ แล้วคอยกินเลือดกินเนื้อเขา

คนที่เขาแสวงหา เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมาได้บวช ได้เสวยบุญกุศล สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนานี้ให้มั่นคงไว้ บริษัท ๔ เอ็งได้สิ่งนี้ เพราะว่าอะไร

เพราะว่าเวลาทางโลก เวลาฆราวาสเขา เขาปากกัดตีนถีบ เขาดิ้นรนกัน เขาหาเวลาประพฤติปฏิบัติ แล้วเขาบอกเขาไม่มีเวลาๆ ไง เขาพยายามจะหาเวลาประพฤติปฏิบัติ จะเจียดเวลามาวัดมาวามาเพื่อปฏิบัติ

ไอ้เรา เราก็เป็นฆราวาสมาทั้งสิ้น เพราะคนเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งนั้นน่ะ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราก็มาบวช พอบวชเสร็จแล้ว ทางจงกรมมึงอยู่ไหน ที่นั่งสมาธิมึงอยู่ไหน ที่มึงทำ ความเพียรมึงอยู่ไหน มึงทำไมไปแส่ๆ แส่กับกระแสโลกนั่น เป็นผีดิบแดร็กคูลาคอยกินเลือดกินเนื้อสังคม คอยแสวงหาผลประโยชน์ของตน แล้วมึงได้อะไรมา แล้วว่าเอ็งจะเป็นนักรบ

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์สิ ดูสิ ดูหลวงตา โครงการช่วยชาติฯ ท่านทำกิจของท่านจบแล้ว

มันมีพระลูกศิษย์ท่านจะไปเมืองนอก แหม! ทำว่ามาลานะ จะไปเผยแผ่ธรรม

ท่านถามเลย “ธุระของตนทำเสร็จหรือยัง”

ท่านไม่เห็นด้วย ไปเผยแผ่ๆ เอาอะไรไปเผยแผ่ ธุระของตนทำเสร็จหรือยัง ไอ้ผีดิบในใจนั่นน่ะ ไปเผยแผ่มันก็เอาแต่แดร็กคูลา เอาแต่เขี้ยวเอาแต่เล็บจะไปแสวงหาผลประโยชน์ของมันนั่นน่ะ ผลประโยชน์ของใคร เผยแผ่ธรรมตรงไหน มันมีธรรมอะไรไปเผยแผ่ ธรรมในใจมีหรือเปล่า

ถ้าธรรมในใจมันมีนะ มันจะเคารพธรรมและวินัย

เวลาหลวงตาท่านพูด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา มันต้องเคารพธรรมเคารพวินัย อย่าเหยียบย่ำ อย่าทำลาย อย่าก้าวก่าย

ไอ้ผีดิบมันทำลายทั้งสิ้น มึงทำลายพระพุทธเจ้าได้แล้วมึงว่ามึงยิ่งใหญ่ เป็นไปไม่ได้หรอก ไอ้พวกผีดิบน่ะ กะล่อนปลิ้นปล้อน คอยแต่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ตัวเองคิดไปเองไง แต่ความจริงไม่มีหรอก ไม่มีใครยิ่งใหญ่ เพราะทุกคนเล็กกว่าโลงทั้งนั้น ทุกคนถึงเวลาแล้วต้องอยู่ในโลงแล้วเผา เผาให้สิ้นซากไป มันจะเหลือไว้แต่คุณงามความดี

พันธุกรรมของจิตๆ จิตที่ได้สร้างคุณงามความดีไว้ จิตนั้นได้อบรมบ่มเพาะ มันก็จะเป็นจริตนิสัยมันไป ถ้ามันมีเวรมีกรรมของมัน นรกอเวจีอยู่แล้ว นรกรอรับมึงอยู่แล้ว มันไปไหนไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความแค้น จิตใจเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ มันจะไปไหน มันจะลอยสูงได้อย่างไร มันลงนรกอยู่แล้ว นี่ไง เดี๋ยวเวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันมีแต่ความเจ็บแค้นเจ็บปวด

แต่เวลาเราเป็นนับรบ ไอ้ความเจ็บแค้นความเจ็บปวดมันมาจากไหน มันก็มาจากความคิดของตนทั้งสิ้น สิ่งที่กระทำแล้วมันเป็นอดีตไปหมดแล้ว ผู้ที่ย้ำคิดย้ำทำ ย้ำแต่ความเจ็บปวดอันนั้น มันก็จะเจ็บปวดซ้ำต่อไป แล้วกิเลสมันก็เติมฟืนเติมไฟให้เจ็บปวดมากขึ้น มันให้น้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะให้น้ำหนัก น้ำหนักมากขึ้น มันก็เจ็บช้ำน้ำใจๆ แต่ทำหน้าลอยหน้าลอยตานะ ลอยหน้าลอยตาว่าฉันมีความสุข

ไอ้พวกผีดิบ ไอ้ข้างในมันปั่นป่วน มันอยากจะกลืนโลกทั้งโลกอยู่ในอำนาจของมันน่ะ แต่ทำนุ่มนวลไง ทำลอยหน้าลอยตาไง ไอ้พวกผีดิบน่ะ

กลิ่นของธรรมกลิ่นของศีลหอมทวนลม ทวนลมจนเวลาเขาถามว่า หลวงปู่มั่นอยู่เชียงใหม่ อยู่หนองผือ สกลนคร เทวดารู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน

เวลาหลวงตาท่านพูดไง ใจสว่างกระจ่างแจ้ง ในที่มืดมันมีดวงไฟดวงหนึ่งที่สว่างกระจ่างแจ้ง ทำไมใครจะไม่เห็น เขาเห็นทั้งนั้นน่ะ เทวดาทิพย์สมบัติเขารู้หมดน่ะ

ไอ้พวกเราไอ้ผีดิบมันไม่เห็นนั้นหรอก มันเห็นแต่ว่าพัดยศ เห็นแต่เงินเห็นแต่ทอง เห็นแต่รถรุ่นอะไร ยี่ห้ออะไร มีรถนำหรือเปล่า ไปแล้วจะมีคนคอยเทกแคร์หรือไม่ มันไม่เห็นความสว่างไสวของหัวใจหรอก

นี่ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ของท่านสว่างไสวกลางหัวใจ เทวดา อินทร์ พรหมเขาอยากความร่มเย็นเป็นสุข เพราะเทวดา อินทร์ พรหมเวลาเขาหมดอายุขัย เขาก็ต้องตายเหมือนเรา คนที่เป็นทิพย์สมบัติแล้วต้องพลัดพราก ที่ไหนเขาไม่ทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง

แล้วเราเกิดมามีกายกับใจ ร่างกายนี้มันต้องการสารอาหาร เราต้องหามาแต่งเติมให้มัน มันถึงมีบริขาร ๘ ไง ถึงความดำรงชีพของภิกษุไง ถึงความดำชีพของสมณะไง

ดำรงชีพไว้ทำไม

ดำรงชีพไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติไง ดำรงชีพไว้ค้นหาไอ้ผีดิบในใจของตนไง การกระทำของเราคือการค้นหาผีดิบในใจของตน

ในการกระทำ หลานของมาร ลูกของมาร พ่อของมาร ปู่ย่าตายายของมาร ครอบครัวของมารที่อยู่ในหัวใจของเอ็ง ไอ้พวกผีดิบ หน้าที่มึงอยู่ตรงนี้ อยู่ที่แก้ความเป็นดิบเถื่อนในใจ

ไม่ใช่ว่า แหม! จะได้ยศถาบรรดาศักดิ์บ้าบอคอแตกนั่น แล้วมาลอยหน้าลอยตาเชิดหน้าชูตานั่นน่ะ ไอ้พวกนี้ตกนรกอเวจี นี่สมบัติที่มันจะดึงมึงลงนรก

แต่สมบัติพวกเราไม่สน ทางจงกรม ทางจงกรมที่สงบสงัด ที่หน้าหนาวอุณหภูมิอย่างนี้ร่มเย็นเป็นสุข วิเวกๆ โอ๋! มีความอุดมสมบูรณ์ในหัวใจ จบแล้ว เช้าบิณฑบาตทำภัตกิจเสร็จแล้ว หน้าที่ของตนค้นคว้าหาหัวใจของตน ผู้ที่ได้ฌานสมาบัติก็เข้าสู่ฌานสมาบัติ ผู้ที่ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ก็วิปัสสนาไป

ผู้ที่พ้นจากกิเลสนะ ผู้ที่พ้นจากกิเลสไม่มีกิเลสในใจเลย เขาอยู่ในวิหารธรรม เขาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เพื่อวิหารธรรม วิหารธรรมในใจ เขาไม่ใช่ผีดิบ เขาอิ่มเต็มในหัวใจแล้ว เขามีวิหารธรรมในใจ เขามีความสุขไง

มีพระองค์หนึ่งเขาบอก เขาเป็นพระอรหันต์ แล้วอยู่กับอะไรล่ะ อยู่กับดูหนัง เขาว่า ดูหนัง

เฮ้ย! หันเหี้ยอะไรของมึงวะ เรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์ เรื่องที่เป็นสสารมันอยู่กับโลกนี้ มันไม่ไปกับหัวใจ มันไม่ไปกับบุญกับบาป บุญและบาปเท่านั้นที่ติดหัวใจไป วิหารธรรมมันคู่กับธรรมธาตุ มันไม่ใช่ไปดูหนังดูละครหรอก

นี่พระอรหันต์เขาพูดไง โอ้! เขาถาม มีพระถามว่า แล้วอยู่กับอย่างไรล่ะ

โอ้! ก็ดูหนัง พรรษานี้ดูหนังมากไปหน่อย

หันลงนู่นน่ะ หันลงนรก ไอ้พวกผีดิบ

ผีดิบก็เป็นผีดิบนะ เราเกิดมาเราก็เป็นผีตัวหนึ่ง ผีภายนอก ผีภายใน เวลาสังสารวัฏ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผีมีหรือไม่มี จิตวิญญาณมีหรือไม่มี ถ้าไม่มีก็ไม่มีความรู้สึก ไม่มีก็ไม่มีองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสร้างบุญกุศลมา ไม่มีหรือ แล้วเวลามี มีมาอย่างไร สร้างบุญกุศลอย่างไร เวลาบารมีเต็ม เวลาตรัสรู้ธรรมต้องจิตนี้กลั่นออกมาอริยสัจ ต้องมาผ่านอริยสัจ ไม่ผ่านอริยสัจมันจะมีศีล สมาธิ ปัญญา มันจะมีมรรคขึ้นมาได้อย่างไร มันจะมีอะไรไปฆ่ากิเลส ไปฆ่าความดิบเถื่อนในใจ การฆ่าความดิบเถื่อนในใจจนเป็นธรรมธาตุแล้วมีอะไรเหลือ นี่ไง แล้วเราจะมีอะไรอีก นี่มันไม่มี

“เธอทั้งหลาย ๖๐ องคพร้อมกับเรา พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์”

พ้นหมดเลย ไม่ใช่ผีดิบ

ผีดิบที่เกาะโลงศพเขา เกาะกระแส สายพระกรรมฐานๆ ไอ้พวกผีดิบ เอวัง